แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : Manchester United

ประวัติสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือที่แฟนบอลส่วนใหญ่รู้จักกันดีในนาม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือสั้นๆว่า ยูไนเต็ด เป็นทีมฟุตบอลอาชีพที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในย่าน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ใจกลางชุมชน เมืองเกรทเตอร์ แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ

ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จสูงสุดเหนือทีมอื่นๆในวงการลูกหนังแดนผู้ดี พวกเขาเป็นเจ้าของสถิติคว้าแชมป์ลีกสูงสุด 20 สมัย,เอฟเอ คัพ 12 ครั้ง,ลีก คัพ 5 ครั้ง,เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ 21 ครั้ง และยังเคยคว้าถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 3 ครั้ง รวมถึง ยูฟ่า ยูโรปา ลีก,ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ,ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ,อินเตอร์ โตโต้ คัพ และ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ อีกอย่างละสมัย

ถ้วยแชมป์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ในฤดูกาล 1998-99 พวกเขากลายเป็นทีมแรกจาก อังกฤษ ที่สามารถคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ซึ่งรวมถึงในรายการยุโรป โดยหลังจากคว้าแชมป์ ยูโรปา ลีก ได้ในซีซั่น 2016-17 ก็ทำให้ ยูไนเต็ด กลายเป็นหนึ่งใน 5 ทีมที่สามารถคว้าถ้วยยุโรปครบทั้ง 3 รายการ และยังเป็นสโมสรเดียวในประเทศที่สามารถคว้าแชมป์ได้ในทุกรายการที่พวกเขามีสิทธิ์ลงแข่งขัน

หลังเกิดเหตุโศกนาฏกรรมมิวนิคเมื่อปี 1958 ที่ทำให้นักเตะของทีมเสียชีวิต 8 ราย ภายในระยะเวลา 10 ปีหลังจากนั้น แมตต์ บัสบี้ ก็เป็นผู้ที่ทำให้ ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมแรกจาก อังกฤษ ที่คว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ ก่อนจะส่งต่อความยิ่งใหญ่มาถึง อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เบ็ดเสร็จแล้วสามารถบันดาลแชมป์ให้กับทีมได้ 38 รายการ ซึ่งประกอบไปด้วยรางวัลสำคัญอย่าง พรีเมียร์ลีก 13 สมัย,เอฟเอ คัพ 5 ครั้ง และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 ครั้ง ตลอดช่วงเวลาตั้งแต่ปี 1986 จนถึงปี 2013 ที่เขาตัดสินใจก้าวลงจากตำแหน่ง

ปีศาจแดง ยังเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีรายรับมากที่สุดในโลกภายในฤดูกาล 2016-17 จากรายได้ต่อปีที่เข้ามาถึง 676.3 ล้านยูโร ก่อนจะมารั้งตำแหน่งสโมสรฟุตบอลที่มีมูลค่าสูงที่สุดของปี 2018 ด้วยตัวเลข 3.1 พันล้านปอนด์ โดยก่อนหน้านี้ในปี 2015 พวกเขาเคยเป็นเจ้าของสถิติแบรนด์ฟุตบอลที่มีมูลค่าสูงสุดอยู่ที่ 1.2 พันล้านดอลล่าร์

หลังจากที่ผลักดันตัวเองเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนในปี 1991 สโมสรก็ถูก มัลคอล์ม เกลเซอร์ มหาเศรษฐีชาวสหรัฐอเมริกากว้านซื้อไปครอบครองในปี 2005 ด้วยดีลที่มีมูลค่าราว 800 ล้านปอนด์ ก่อนที่หุ้นส่วนของสโมสรจะถูกเปิดสู่สาธารณชนอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2012 หลังได้รับข้อเสนอจากตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ค

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1878

1878 – สโมสรถูกก่อตั้งขึ้นภายใต้ชื่อ นิวตัน ฮีธ จากพนักงานการรถไฟสาย แลงคาเชียร์ แอนด์ ยอร์คเชียร์ ในแผนกรถสินค้าและรถโดยสารของบริษัทรถไฟ แอล วาย อาร์ โดยมีเป้าหมายที่จะลงแข่งขันกับแผนกอื่นๆรวมถึงบริษัทรถไฟเจ้าอื่น

1880 – สโมสรลงแข่งขันโดยมีบันทึกอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน กับทีมสำรองของ โบลตัน วันเดอเรอร์ส ก่อนจะพ่ายแพ้ไป 6-0 โดยที่ทีมสวมใส่ชุดแข่งสีเขียว-ทองซึ่งเป็นสีประจำบริษัท

1888 – สโมสรเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ คอมบิเนชั่น ลีก ซึ่งเป็นการแข่งขันในระดับท้องถิ่นที่มีอายุอยู่ได้เพียงแค่ปีเดียว ก่อนจะย้ายไปเข้าร่วมกับ ฟุตบอล อัลลิอันซ์ ที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ในปีถัดมา และหลังจากผ่านพ้นไป 3 ซีซั่นก็ได้ควบรวมเข้ากับ ฟุตบอลลีก

1892 – นิวตัน ฮีธ มีโอกาสออกสตาร์ทซีซั่นใน ดิวิชั่น 1 อย่างเป็นทางการพร้อมกับการแยกตัวเป็นอิสระจากบริษัทรถไฟ ก่อนจะตกชั้นลงสู่ ดิวิชั่น 2 ในอีก 2 ฤดูกาลถัดมา

1902 – ในช่วงต้นปีนั้นด้วยหนี้สินที่มีอยู่จำนวน 2,670 ปอนด์ ซึ่งคิดเป็นอัตราเทียบเท่ากับ 270,000 ปอนด์ในปี 2018 ก็ทำให้สโมสรกำลังจะถูกยุบกิจการเพื่อหาเงินมาชำระหนี้ จนกระทั่ง แฮร์รี่ สแตฟฟอร์ด กัปตันทีมในเวลานั้นสามารถชักจูงกลุ่มนักธุรกิจท้องถิ่น 4 รายนำโดย จอห์น เฮนรี่ เดวี่ส์ ที่กลายมาเป็นประธานสโมสร ได้ร่วมกันลงทุนคนละ 500 ปอนด์ในการเข้ามาชำระดอกเบี้ยและช่วยให้สโมสรยังดำเนินการต่อไปได้ภายใต้ชื่อใหม่ โดยหลังจากเคลียร์ปัญหาหนี้สินได้ลงตัว ในวันที่ 24 เมษายน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการภายใต้การดูแลของ เออร์เนสต์ แมงนอลล์ ผจก.ทีมคนแรก

1906 – ยูไนเต็ด คว้าตำแหน่งรองแชมป์ ดิวิชั่น 2 พร้อมรับสิทธิ์เลื่อนชั้นกลับคืนสู่ลีกสูงสุดของประเทศ

1908 – ทีมคว้าแชมป์ ดิวิชั่น 1 ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร และยังเป็นฝ่ายคว้าชัยในรายการ แชริตี้ ชิลด์ ในช่วงออกสตาร์ทซีซั่นถัดไปที่พึ่งถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรก

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1910

1909 – แม้จะทำผลงานรูดลงมาอยู่ในอันดับที่ 13 หลังจากคว้าแชมป์ลีกได้ในซีซั่นก่อน แต่พวกเขาก็เป็นฝ่ายได้ชูถ้วยแชมป์ เอฟเอ คัพ เป็นสมัยแรกของทีม

1911 – ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นหนที่สอง แต่ แมงนอลล์ ตัดสินใจลาออกจากทีมเพื่อไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลังจากจบฤดูกาลนั้น

1922 – 3 ปีหลังผ่านพ้นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ฟุตบอลลีก เริ่มกลับมาเตะกันอีกครั้ง ยูไนเต็ด ก็ตกชั้นลงไปสู่ ดิวิชั่น 2

1925 – ทีมกลับเลื่อนชั้นขึ้นมาได้อีกครั้งจากการคว้าอันดับที่ 2 รองจาก เลสเตอร์ ซิตี้

1927 – ยูไนเต็ด เริ่มกลับมาประสบปัญหาทางการเงินอีกครั้งภายหลังการเสียชีวิตของ จอห์น เฮนรี่ เดวี่ส์ ประธานสโมสรในเดือนตุลาคม

1931 – หลังเริ่มมีปัญหาทางการเงิน ทีมก็มาตกชั้นจนได้หลังจบฤดูกาล 1930-31 แต่ยังโชคดีที่ได้ เจมส์ วิลเลี่ยม กิ๊บสัน นักธุรกิจที่มีพื้นเพจาก ซัลฟอร์ด แต่มาเติบโตอยู่ในย่าน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ตัดสินใจกระโดดเข้ามาช่วยพยุงสถานะทางการเงินและได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานสโมสร

1939 – ยูไนเต็ด จบด้วยอันดับที่ 14 ภายในฤดูกาล 1938-39 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อน สงครามโลกครั้งที่ 2 จะเปิดฉากขึ้น

1945 – แมตต์ บัสบี้ ถูกแต่งตั้งให้เข้ามารับหน้าที่ผจก.ทีม และเริ่มเตรียมความพร้อมให้กับนักเตะสำหรับ ฟุตบอลลีก ที่กำลังจะกลับมาฟาดแข้งกันอีกครั้งหลังสงครามสิ้นสุดลง

1948 – ภายในซีซั่น 1946-47 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกที่ฟุตบอลอังกฤษกลับมาลงเตะกันอีกครั้ง บัสบี้ พาทีมคว้าอันดับ 2 โดยเป็นรองแค่ ลิเวอร์พูล ที่เฉือนพวกเขาไปเพียงแค่คะแนนเดียว ก่อนจะเริ่มก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ในปีถัดมา

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1952

1952 – ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกได้ในรอบ 41 ปี

1956 – ด้วยทีมที่มีอายุเฉลี่ยเพียง 22 ปี เหล่าขุนพลนักเตะพลังหนุ่มของ บัสบี้ ก็คว้าแชมป์ ดิวิชั่น 1 ได้อีกครั้งพร้อมกับการได้รับฉายาจากสื่อว่า “บัสบี้ เบบส์”

1957 – ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมแรกจาก อังกฤษ ที่ได้ลงแข่งขันในรายการ ยูโรเปี้ยน คัพ ภายหลังจากที่ ฟุตบอลลีก ปฏิเสธการส่ง เชลซี ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมในฤดูกาลก่อนหน้านี้ ก่อนที่พวกเขาจะไปสะดุดอยู่ที่รอบรองชนะเลิศจากการพ่ายแพ้ให้กับ เรอัล มาดริด โดยในระหว่างเส้นทางก็ได้สร้างสถิติถล่ม อันเดอร์เลชท์ ทีมแชมป์จาก เบลเยี่ยม ไปแบบถล่มทลาย 10-0 และกลายเป็นสถิติการคว้าชัยชนะแบบขาดลอยที่สุดจนถึงปัจจุบันนี้

1958 – ภายหลังจากการคว้าชัยชนะเหนือ เรด สตาร์ เบลเกรด ในรอบก่อนรองชนะเลิศของบอลถ้วยยุโรปใบใหญ่ ในขณะที่ทีมกำลังเดินทางกลับบ้านโดยสายการบิน บริติช ยูโรเปียน แอร์เวย์ส เที่ยวบิน 609 และแวะเติมน้ำมันที่ เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมัน ก็เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินลำดังกล่าวพุ่งเข้าชนกับรันเวย์จนมีผู้เสียชีวิต 23 ราย โดย 8 ผู้เคราะห์ร้ายในนั้นก็คือนักเตะของทีม เจฟฟ์ เบนต์,โรเจอร์ ไบร์น,เอ็ดดี้ โคลแมน, มาร์ก โจนส์,เดวิด เพ็กก์,ทอมมี่ เทย์เลอร์,เลียม วีแลน และ ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ ที่มาเสียชีวิตในโรงพยาบาลหลังเกิดเหตุ 15 วัน ในขณะที่ผู้เสียชีวิตรายอื่นๆก็ประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่สโมสร แฟนบอล และนักข่าว

1958 – ในระหว่างที่ แมตต์ บัสบี้ อยู่ระหว่างพักรักษาตัวจากเหตุการณ์น่าสลด จิมมี่ เมอร์ฟี่ มือขวาของเขาก็ขยับขึ้นมาทำหน้าที่แทนและพาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ 1957-58 ก่อนจะพ่ายให้กับ โบลตัน 2-0 และเพื่อเป็นการร่วมรำลึกถึงการสูญเสีย ยูฟ่า ได้ส่งเทียบเชิญให้ ยูไนเต็ด ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันใน ยูโรเปี้ยน คัพ ซีซั่นถัดไปเคียงข้างกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส ทีมแชมป์ในฤดูกาลนั้น ก่อนที่ทาง ฟุตบอลลีก จะปฏิเสธข้อเสนอนี้ไป

1963 – บัสบี้ เริ่มต้นสร้างทีมใหม่จากการเซ็นสัญญากับ เดนนิส ลอว์ และ แพท ครีแรนด์ ในช่วงปีที่ผ่านมา บวกกับความมหัศจรรย์ของนักเตะสายเลือดใหม่ที่เป็นเด็กปั้นของทีมอย่าง จอร์จ เบสต์ ก็ทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ จากการเข้าชิงและเอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ ได้ 3-1 ในฤดูกาลนั้น

1965 – หลังจบด้วยอันดับที่ 2 ในปีก่อนหน้านั้น พวกเขาสามารถคว้าแชมป์ลีกฤดูกาล 1964-65 ได้ในที่สุด ก่อนจะมาทำได้อีกครั้งในอีก 2 ซีซั่นถัดมา

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1968

1968 – ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมแรกของ อังกฤษ และอันดับสองของ สหราชอาณาจักร ที่สามารถคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ จากการสยบ เบนฟิก้า ลงได้ 4-1 โดยที่ทีมชุดนี้ประกอบไปด้วย 3 แข้งดาวแด่นที่สามารถก้าวขึ้นไปคว้ารางวัล บัลลงดอร์ มาครองได้ทั้ง บ็อบบี้ ชาร์ลตัน,เดนนิส ลอว์ และ จอร์จ เบสต์

1969 – บัสบี้ ตัดสินใจก้าวลงจากตำแหน่งและได้ วิลฟ์ แม็คกินเนส โค้ชทีมสำรองขยับขึ้นมานั่งเก้าอี้แทนพร้อมปิดฉากความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของสโมสรในช่วงที่ผ่านมา

1970 – หลังจบด้วยอันดับที่ 8 ในฤดูกาลก่อนหน้านี้ บวกกับการออกสตาร์ทซีซั่น 1970-71 ที่ย่ำแย่ ทำให้ทางสโมสรตัดสินใจเชิญ แมตต์ บัสบี้ กลับมาทำหน้าที่ชั่วคราวในช่วงปลายปีนั้น และขยับ แม็คกินเนส กลับไปดูแลทีมสำรองดังเดิม

1971 – ทีมออกสตาร์ทฤดูกาลด้วยการดึงตัว แฟรงค์ โอฟาร์เรลล์ เข้ามารับหน้าที่กุนซือ แต่สุดท้ายเขาก็ทำงานอยู่ที่นั่นได้เพียง 18 เดือนก่อนจะมาเปลี่ยนมาเป็น ทอมมี่ โดเชอร์ตี้ ในช่วงปลายปีถัดมา

1974 – แม้ โดเชอร์ตี้ จะช่วยกอบกู้สถานการณ์และช่วยให้ทีมรอดพ้นการตกชั้นภายในฤดูกาลแรกที่เข้ามา แต่สุดท้ายหลังสิ้นสุดฤดูกาล 1973-74 ยูไนเต็ด ก็ร่วงลงสู่ ดิวิชั่น 2 พร้อมๆกับการจากไปของ ชาร์ลตัน,ลอว์ และ เบสต์

1976 – ยูไนเต็ด ใช้เวลาเพียงแค่ปีเดียวในการเลื่อนชั้นกลับขึ้นมา และสามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ได้ในซีซั่นถัดมา แต่ก็ตกเป็นฝ่ายชวดแชมป์จากการพ่ายให้กับ เซาแธมป์ตัน 1-0

1977 – ทีมสามารถเดินทางเข้าสู่ เวมบลีย์ ได้ถึง 2 ปีติดต่อกัน และคราวนี้พวกเขาก็เป็นฝ่ายสมหวังจากการเฉือนเอาชนะ ลิเวอร์พูล 2-1 แต่สุดท้าย โดเชอร์ตี้ ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งหลังพาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้ไม่นานหลังไปมีปัญหาชู้สาวกับภรรยาของนักกายภาพของทีม

1979 – เดฟ เซ็กซ์ตัน ที่ก้าวเข้ามาทำหน้าที่ต่อจาก โดเชอร์ตี้ พาทีมที่ประกอบไปด้วยสตาร์ที่เซ็นเข้ามาใหม่อย่าง โจ จอร์แดน,กอร์ดอน แม็คควีน,แกรี่ เบลี่ย์ และ เรย์ วิลกิ้นส์ เข้าชิงถ้วย เอฟเอ คัพ ในปีนั้นกับ อาร์เซน่อล แต่ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปอย่างหวุดหวิด 3-2

1981 – แม้จะทำทีมเก็บชัยชนะรวดใน 7 นัดหลังสุด แต่ทางสโมสรก็จัดการปลด เซ็กซ์ตัน และแต่งตั้ง รอน แอตกินสัน เข้ามาทำหน้าที่แทน พร้อมกับการเซ็นสัญญา ไบรอัน ร็อบสัน มาจาก เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ที่เป็นสถิติของประเทศในเวลานั้น

1985 – แอตกินสัน พาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้ถึง 2 จาก 3 ฤดูกาลหลังสุด เริ่มจากครั้งแรกในปี 1983 ด้วยชัยชนะ 4-0 เหนือ ไบรท์ตัน ในนัดรีเพลย์ ก่อนจะเฉือน เอฟเวอร์ตัน 1-0 ที่ เวมบลีย์ ในอีก 2 ปีถัดมา

1986 – หลังพาทีมสร้างสถิติไร้พ่ายใน 15 เกมแรกแถมยังเก็บชัยชนะได้ถึง 13 นัด ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมเต็งที่จะคว้าแชมป์ฤดูกาล 1985-86 แต่สุดท้ายพวกเขาก็ทำได้เพียงจบในอันดับที่ 4 จนกระทั่งในซีซั่นต่อมาทีมก็ทำผลงานได้อย่างย่ำแย่และตกลงไปอยู่ในโซนตกชั้นตอนเดือนพฤศจิกายนจนทำให้ แอตกินสัน ชะตาขาดในที่สุด และแล้วพวกเขาก็ได้ร่วมงานกับ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ภายในวันเดียวกับที่ปลดผจก.ทีมคนเก่าออกไปหมาดๆ

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1987

1987 – เฟอร์กูสัน และ อาร์ชี่ น็อกซ์ ผู้ช่วยของเขาเข้ามาช่วยกอบกู้สถานการณ์จนทำให้ทีมจบในอันดับที่ 11 ได้ในฤดูกาลเปิดตัว

1990 – แม้จะพาทีมคว้าตำแหน่งรองแชมป์ได้ในซีซั่นที่สองของตนเอง แต่ในปีถัดมาทีมก็ถอยกลับไปอยู่ในอันดับที่ 11 ในตอนท้าย จนกระทั่งเริ่มมีรายงานว่า เฟอร์กูสัน กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมกับการถูกปลดออกจากตำแหน่ง แต่แล้วจากชัยชนะ 1-0 เหนือ คริสตัล พาเลซ ในเกมนัดชิง เอฟเอ คัพ รอบรีเพลย์หลังจากเสมอกันไปในทีแรก 3-3 ก็ทำให้ กุนซือชาวสกอตติช ยังคงรักษาเก้าอี้ของตนเองเอาไว้ได้

1991 – ปีศาจแดง เริ่มเดินหน้ากอบโกยความสำเร็จจากการคว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ ด้วยการปราบ บาร์เซโลน่า ลงด้วยสกอร์ 2-1 และยังมาคว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ได้ในเวลาถัดมาจากการล้มแชมป์ยุโรปอย่าง เร้ด สตาร์ เบลเกรด ลงได้ 1-0 ภายในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ของตนเอง

1992 – ทีมคว้าแชมป์ ลีก คัพ เป็นครั้งแรกได้สำเร็จหลังผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเป็นปีที่สองติดต่อกัน โดยในปีที่แล้วพวกเขาพ่ายให้กับ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ 1-0 แต่ก็มาประสบความสำเร็จในนัดชิงปี 1992 ด้วยการเฉือนเอาชนะ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 1-0

1993 – ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งนับตั้งแต่ปี 1967 และยังถือเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ทีมแรกหลังจากที่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของการแข่งขันภายในประเทศ

1994 – พวกเขาคว้าแชมป์ลีกได้อีกในซีซั่นถัดมา และยังเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1957 ที่ทีมชนะเลิศในรายการ เอฟเอ คัพ ได้อีกด้วย ซึ่งถือเป็นการคว้าดับเบิ้ลแชมป์หนที่สองในประวัติศาสตร์ของสโมสร

1999 – ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมแรกในประวิติศาสตร์ที่สามารถชนะเลิศในรายการ พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ภายในฤดูกาลเดียวกัน โดยหลังจากที่ตกเป็นฝ่ายตามหลัง บาเยิร์น มิวนิค 1-0 ในนัดชิงถ้วยบิ๊กเอียร์ตั้งแต่ช่วงต้นเกม พอย่างเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 2 ตัวสำรองอย่าง เท็ดดี้ เชอริ่งแฮม และ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ก็ช่วยกันยิงคนละประตูภายในระยะเวลา 2 นาทีจนพลิกแซงกลับขึ้นนำ 2-1 พร้อมประกาศศักดาการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ทีมยังมาคว้าแชมป์ อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ จากการเบียดเอาชนะ พัลไมรัส ทีมแกร่งจากบราซิล ได้ 1-0 ที่ประเทศญี่ปุ่น จนทำให้ เฟอร์กูสัน ได้รับพระราชทานยศเป็นท่านเซอร์ในปีนั้น

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2003

2003 – ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ยูไนเต็ด สามารถคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้ถึง 3 สมัย โดยมีเพียงฤดูกาล 2001-02 ที่ทีมจบในอันดับที่ 3

2004 – ทีมเอาชนะ มิลวอลล์ ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ที่สนาม มิลเลนเนี่ยม สเตเดี้ยม ได้อย่างไม่ยากเย็น 3-0 และเป็นการได้ขึ้นชูโทรฟี่ใบนี้เป็นหนที่ 11

2006 – ยูไนเต็ด พลาดท่ากระเด็นตกจากรอบแบ่งกลุ่มในรายการ แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ แต่ก็ยังพอกู้หน้าได้จากการคว้าตำแหน่งรองแชมป์ลีก และยังเป็นฝ่ายไล่ถล่ม วีแกน แอธเลติก ได้ถึง 4-0 ในนัดชิงชนะเลิศ ลีก คัพ

2008 – หลังกลับมาคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้อีกครั้งในปีที่ผ่านมา พวกเขาสามารถเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 1 ได้ถึง 2 ปีติดต่อกัน และยังเป็นการคว้าดับเบิ้ลแชมป์จากการดวลจุดโทษเอาชนะ เชลซี ในนัดชิงชนะเลิศ UCL ที่ ลุซนิกิ สเตเดี้ยม ใน รัสเซีย ก่อนจะมาเอาชนะ แอลดียู กีโต้ 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ตอนช่วงเดือนธันวาคม

2009 – ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน พร้อมกับที่ได้ครองแชมป์ ลีก คัพ จากการดวลจุดโทษเอาชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ หลังจบ 120 นาที โดยหลังจากจบฤดูกาล 2008-09 ทางสโมสรก็ได้ปล่อยตัว คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไปให้กับ เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวอันเป็นสถิติโลก 80 ล้านปอนด์

2010 – ทีมคว้าแชมป์ ลีก คัพ ได้เป็นปีที่สองติดต่อกัน และยังเป็นการป้องกันแชมป์บอลถ้วยได้เป็นหนแรกของพวกเขา จากการเอาชนะ แอสตัน วิลล่า 2-1 ที่ เวมบลีย์

2011 – หลังทำสถิติคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ถึง 18 ครั้งเทียบเท่ากับ ลิเวอร์พูล ทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็เดินหน้ากอบโกยความสำเร็จแซงหน้าคู่ปรับตลอดกาลด้วยการเป็นแชมป์สมัยที่ 19 หลังเก็บผลเสมอ 1-1 กับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2013

2013 – ปีศาจแดง ประกาศศักดาคว้าแชมป์สมัยที่ 20 หลังเปิดบ้านถล่ม แอสตัน วิลล่า 3-0 เมื่อวันที่ 22 เมษายน ก่อนที่อีก 2 สัปดาห์ต่อมา เฟอร์กูสัน จะประกาศวางมือจากการคุมทีมแต่ยังคงดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการและทำหน้าที่เป็นทูตของสโมสร พร้อมกับการประกาศแต่งตั้ง เดวิด มอยส์ กุนซือของ เอฟเวอร์ตัน ให้มาเป็นตัวแทนของเขาในฤดูกาลหน้า

2014 – แต่หลังจากอยู่กับ ยูไนเต็ด ได้เพียง 10 เดือน ในวันที่ 22 เมษายน มอยส์ ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งหลังทำผลงานได้อย่างย่ำแย่จากการพาทีมชวดพื้นที่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1995-96 โดยทางสโมสรตัดสินใจขยับ ไรอัน กิ๊กส์ ที่พึ่งต่อสัญญาการเป็นผู้เล่น/ผจก.ทีมไปเมื่อช่วงซัมเมอร์ให้มารับหน้าที่ชั่วคราว ก่อนที่สุดท้ายทีมจะจบในอันดับที่ 7 ซึ่งถือเป็นผลงานที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1990 และหมดโอกาสแม้แต่จะไปลงเล่นใน ยูโรปา ลีก ฤดูกาลหน้า จนกระทั่งพวกเขาหันไปดึงตัว หลุยส์ ฟาน กัล เข้ามารับตำแหน่งคุมทีมในฤดูกาลหน้าโดยที่มี กิ๊กส์ รับบทบาทเป็นมือขวา

2016 – ผลงานในปีแรกของ ฟาน กัล คือการพาทีมจบฤดูกาลในอันดับที่ 4 และคว้าสิทธิ์กลับไปเล่นใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีกครั้ง แม้จะมีการเซ็นสัญญากับนักเตะดังเข้ามามากมายตลอดช่วงการทำงานของ กุนซือชาวดัตช์ แต่ในฤดูกาลถัดมาเขากลับพาทีมจบในอันดับที่ 5 แต่ยังดีที่สามารถพาทีมเข้าชิงถ้วย เอฟเอ คัพ ก่อนจะคว้าแชมป์สมัยที่ 12 มาได้จากการเฉือนเอาชนะ คริสตัล พาเลซ 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่สุดท้ายเขาก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งในอีก 2 วันถัดมา พร้อมกับการเข้ามาทำหน้าที่แทนของ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ประเดิมผลงานด้วยการพาทีมคว้าถาด คอมมิวนิตี้ ชิลด์ จากการเอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ 2-1 ในการออกสตาร์ทซีซั่น 2016-17

2017 – อย่างไรก็ตามผลงานในลีกของ ยูไนเต็ด ก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้น เมื่อ กุนซือชาวโปรตุเกส พาทีมจบฤดูกาลในอันดับที่ 6 แต่ทีมกลับสามารถคว้าโควตาเข้าไปเล่นใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าได้จากการคว้าแชมป์ ยูโรปา ลีก ด้วยการสยบ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม 2-0 ในนัดชิงที่ เฟรนด์ส อารีนา ประเทศสวีเดน นอกจากนี้พวกเขายังคว้าแชมป์ ลีก คัพ สมัยที่ 5 ได้ด้วยการเอาชนะ เซาแธมป์ตัน 3-2 ที่ เวมบลีย์

2018 – แม้จะพาทีมคว้าตำแหน่งรองแชมป์ได้ในปีที่สอง แต่กับผลงานในซีซั่นล่าสุดที่ยังคงลุ่มๆดอนๆและรั้งอยู่ในอันดับที่ 6 หลังผ่านพ้นไปเกือบจะครึ่งฤดูกาล พร้อมๆกับข่าวลือเรื่องความขัดแย้งของเขากับนักเตะภายในทีมรวมถึงเหล่าผู้บริหาร สุดท้าย มูรินโญ่ ก็หลุดออกจากตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม โดยมีการแต่งตั้ง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อดีตดาวยิงซูเปอร์ซับของทีมเข้ามาทำหน้าที่ชั่วคราว

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือหนึ่งในทีมฟุตบอลที่มีกองเชียร์คอยติดตามมากที่สุดในโลก พร้อมกับตัวเลขเฉลี่ยของผู้ชมในสนามเหย้าที่มากที่สุดทีมหนึ่งของยุโรป มีการเปิดเผยจากทางสโมสรว่าพวกเขามีฐานรองรับแฟนๆที่เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการอยู่ทั่วทุกมุมโลกกว่า 200 แห่งจากไม่น้อยกว่า 24 ประเทศในรูปแบบของ กลุ่มผู้สนับสนุนแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (Manchester United Supporters Club – MUSC)

ทางสโมสรสร้างผลประโยชน์ได้มากมายจากกลุ่มผู้สนับสนุนเหล่านั้นผ่านการออกทัวร์ในช่วงซัมเมอร์ ในขณะที่ ดีลอยท์ หนึ่งในบริษัทที่ช่วยให้บริการทางธุรกิจรายใหญ่ของโลกได้ประเมินตัวเลขของ แฟนบอลปีศาจแดง ทั่วโลกไว้ที่ 75 ล้านคน พวกเขายังเป็นสโมสรกีฬาอันดับ 3 ที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในโลกโซเชี่ยลรองจาก เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แดงเดือด

ลิเวอร์พูล คือหนึ่งในทีมคู่ปรับตลอดกาลของพวกเขา โดยมีจุดเริ่มต้นจากการแข่งขันกันระหว่างย่านอุตสาหกรรมดั้งเดิม 2 แห่ง โดยทางฝั่ง แมนเชสเตอร์ ทำธุรกิจสิ่งทอ ในขณะที่ ลิเวอร์พูล ทำธุรกิจเกี่ยวกับท่าเรือ นอกจากนี้ทั้งคู่ยังเป็นสองทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของวงการลูกหนังอังกฤษ ลำพังความสำเร็จรวมกันของทั้งสองฝ่ายก็ประกอบไปด้วย แชมป์ลีกสูงสุด 38 ครั้ง,ยูโรเปี้ยน คัพ 8 ครั้ง,ยูฟ่า คัพ 4 ครั้ง,ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 4 ครั้ง,เอฟเอ คัพ 19 ครั้ง,ลีก คัพ 13 ครั้ง,ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 1 ครั้ง, อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ 1 ครั้ง และ เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ อีก 36 ครั้ง

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลีดส์ คู่อริเก่า

ลีดส์ ยูไนเต็ด คือหนึ่งคู่อริเก่าแก่ตามประวัติศาสตร์ที่เคยมีการต่อสู้กันเพื่อยิงชิงอำนาจราชบัลลังก์จากทางฝั่ง แลงคาเชียร์ ของ ยูไนเต็ด กับ ยอร์คเชียร์ ของ ลีดส์ หรือที่เรียกกันว่า สงครามดอกกุหลาบ (Wars of the Roses) และลุกลามต่อเนื่องมาจนถึงในเกมฟาดแข้งเมื่อทั้ง 2 ทีมได้เผชิญหน้ากัน

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาร์เซน่อล คู่ปรับ  

อาร์เซน่อล กลายเป็นทีมคู่ปรับรายล่าสุดโดยมีจุดเริ่มต้นมาจากการประชันกันระหว่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ อาร์แซน เวนเกอร์ ในการไล่ล่าแชมป์ภายใต้ยุครุ่งเรืองของทั้งสองฝ่าย

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คู่แข่งร่วมเมือง

ในขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็คือทีมคู่แข่งร่วมเมืองที่เริ่มทำผลงานได้ดีกว่าพวกเขามาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา